เมืองอาณานิคมเก่าหลายร้อยศตวรรษ ชายหาดที่งดงามราวภาพวาด จุดเด่นทางวัฒนธรรมที่มีสีสัน สัตว์ป่าที่หลากหลาย และภูมิประเทศที่สลับไปมา ทำให้อุรุกวัยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แห่งนี้มีอะไรให้ค้นหามากมาย ประเทศนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสและสเปน ทำให้ได้รับวัฒนธรรมจากทางยุโรปและยังคงรากฐานของอเมริกาใต้ไว้เป็นอย่างดี
การเดินทางในอุรุกวัยค่อนข้างสะดวกด้วยรถทัวร์ที่วิ่งระหว่างเมืองซึ่งครอบคลุมเกือบทุกสถานที่ที่คุณต้องการ ทั้งนี้คุณอาจเลือกเช่ารถเพื่อขับสำรวจประเทศเล็กๆ นี้เองก็ได้เช่นกัน
เริ่มที่เมืองหลวงมอนเตวิเดโอ เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นบนชายฝั่ง Rio de la Plata (แม่น้ำเพลต) ชมสถาปัตยกรรมโคโลเนียลของศตวรรษที่ 18 และ 19 ที่ Ciudad Vieja (เมืองเก่า) เดินเล่นตามทางเดินริมน้ำซึ่งตัดผ่านสวนสาธารณะและบ้านเรือนของคนมีระดับ ร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองที่จัดยาวนานที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเริ่มจัดตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม เข้าชมร้านค้าใน Canelones แหล่งปลูกองุ่นที่อยู่ใกล้ๆ
เดินทางลัดเลาะไปตามชายฝั่งตะวันตกเพื่อไปยังเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของอุรุกวัย นั่นคือ โคโลเนีย เดล ซาคราเมนโต สำรวจพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในบ้านเรือนสีพาสเทล และเดินเตร็ดเตร่ตามถนนปูพื้นหิน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยตั้งแต่ทศวรรษที่ 1700 แวะพักที่ Carmelo ซึ่งเป็นเมืองริมแม่น้ำที่เงียบสงบ จากนั้นมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปที่ Tacuarembo เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมโคบาล (คาวบอย) ที่แท้จริง
อย่าพลาดไปยังชายหาดที่ทอดยาวหลายกิโลเมตรในอุรุกวัยในช่วงหน้าร้อน ปุนตาเดลเอสเตมีกีฬาทางน้ำและแสงสียามค่ำคืน ส่วนเหล่าคนดังมักนิยมไปพักผ่อนที่ Jose Ignacio ในจังหวัด Rocha มีเมืองชายหาด ลาพาโลมาและปุนตาเดลเดียโบล ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าโบฮีเมียน นักเดินทาง และนักเล่นกระดานโต้คลื่น
สำหรับผู้ที่รักสัตว์และธรรมชาติก็มีสถานที่ธรรมชาติให้ชมมากมาย ขี่ม้าใน Quebrada de los Cuervos (Gorge of the Crows) ส่องนกหายากและนกประจำถิ่นที่แหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติ Santa Teresa มาเที่ยวชายฝั่งแอตแลนติกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมเพื่อหาโอกาสดูวาฬเซ้าเทิร์นไรท์ที่กำลังว่ายน้ำอพยพ
อุรุกวัยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ อากาศที่อบอุ่นทำให้สามารถแวะมาเยือนได้ตลอดทั้งปี