เมื่อสะพานบลูบริดจ์สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1886 สะพานเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อสะพานไกเซอร์วิลเฮล์ม ไม่นานนัก ชื่ออย่างเป็นทางการก็เลิกใช้ และชาวเมืองไฟรบูร์กได้เรียกสะพานนี้ตามโครงสร้างเหล็กรูปทรงโค้งที่ทาสีฟ้าอันโดดเด่นว่า Stühlingerbrücke หรือบลูบริดจ์
ในปัจจุบัน มีการตั้งชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่าสะพาน Wiwili เพื่อเป็นเกียรติแด่ Wiwili ของนิคารากัว ซึ่งเป็นเมืองพี่เมืองน้องของเมืองไฟรบูร์ก และสะพานบลูบริดจ์ยังคงเป็นภาพแห่งความประทับใจของเมืองเนื่องด้วยสีสันของสะพาน ชมสีฟ้าสดใสของสะพานที่ตัดกันอย่างงดงามกับอิฐสีแดงและสีสันโทนอุ่นของสถาปัตยกรรมมากมากมายของไฟร์บูร์ก
จากสถานีรถไฟ เดินข้ามสะพานเพื่อไปชมโครงสร้างซุ้มประตูโค้งของโบสถ์ Sacred Heart Church ที่อยู่ปลายสุดอีกด้านหนึ่ง เช่าจักรยานสักคัน แล้วปั่นไปในหมู่พลเมืองชาวไฟรบูร์กมากมาย ซึ่งมีมากกว่า 10,000 รายที่ใช้สะพานนี้ในแต่ละวัน อย่าลืมเตรียมกล้องส่องทางไกลมาด้วยเพื่อชมรถไฟที่อยู่บนรางด้านล่าง หรือเก็บภาพทิวทัศน์ที่สวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใครของไฟรบูร์ก
ไปแสดงความคาราวะต่ออนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงการเนรเทศชาวยิวออกจากไฟรบูร์กในช่วงระหว่างทศวรรษ 1930 ซึ่งอยู่ในลักษณะของรูปปั้นสำริดที่มองดูเหมือนกับเป็นเสื้อโค้ทที่ถูกลืมทิ้งไว้บริเวณด้านข้างสะพาน แวะที่อนุสรณ์สถานแด่ Bernd Koberstein และ Albrecht Pflaum ชาวเมืองไฟรบูร์กสองคนที่ถูกสังหารโดย Nicaraguan Contras ในระหว่างภารกิจบรรเทาทุกข์เพื่อมนุษยธรรมที่ Wiwili
สะพานแห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่ผู้คนมักมาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งภายในเมืองนี้ พูดคุยกับนักศึกษาที่ขึ้นสะพานซุ้มโค้งระดับความสูง 4 เมตร เพื่อมาดื่มเบียร์และสังสรรค์
สะพานบลูบริดจ์หรือสะพาน Wiwili ตั้งอยู่บริเวณขอบด้านตะวันตกของย่านเมืองเก่าของไฟรบูร์ก ทำหน้าที่เชื่อมกับพื้นที่ส่วนที่เหลือของเมือง จากสถานที่สำคัญอย่าง Bertoldsbrunnen (อนุสรณ์สถาน Bertold's Fountain) สามารถเดินถึงภายใน 11 นาที หรือใช้บริการรถรางเป็นเวลา 9 นาที จากมหาวิหารไฟรบูร์ก เลือกเดินหรือใช้บริการรถรางภายในเวลา 13 นาที สะพานนี้ปิดไม่ให้รถยนต์ผ่าน แต่จะมีสถานีจอดรถจักรยานอยู่ที่ปลายสุดของสะพาน มีที่จอดรถแบบมีมิเตอร์ที่จำกัดให้บริการอยู่ที่สถานีรถไฟ และมีที่จอดรถริมถนนให้บริการบนถนนทางด้านตะวันตก สะพานสามารถเข้าถึงได้ตลอดทั้งวัน