ทัลซาได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยได้เปลี่ยนจากรากฐานแบบอเมริกันพื้นเมืองมาเป็นเมืองชายแดนและได้กลายเป็น “เมืองหลวงน้ำมันของโลก” ปัจจุบัน เมืองนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทองคำสีดำ (น้ำมัน) อีกต่อไป แต่ธุรกิจของเมืองยังคงรุ่งเรืองอยู่ด้วยอุตสาหกรรมอากาศยาน การเงิน เทคโนโลยีชั้นสูง และการสื่อสารคมนาคม
ท้องถนนของทัลซานั้นสามารถเที่ยวชมได้ง่ายเนื่องจากจัดวางผังเป็นแบบตารางง่ายๆ สำรวจย่านใจกลางเมืองด้วยการเดินเท้า เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำอาร์คันซอและเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมายอย่างสนามเบสบอล ร้านค้า ร้านอาหาร และหอศิลป์ต่างๆ มองขึ้นไปเพื่อชมตึกระฟ้าสไตล์อลังการศิลป์ เมืองนี้มีกลุ่มอาคารสไตล์อลังการศิลป์ขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในอเมริกา เมื่อผู้ที่มาตั้งรกรากในเมืองทัลซาได้คันพบน้ำมันในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมืองนี้ก็ได้นำเอาผลกำไรบางส่วนมาสร้างโครงสร้างอาคารหรูหราขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งรวมถึงอาคาร Philcade ที่สร้างโดยนักธุรกิจน้ำมันรายใหญ่ Waite Philips
ทัลซามีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว ชมเสือจาร์กัวร์ สิงโต จิงโจ้ นกอีมู และสัตว์อีกนับร้อยที่สวนสัตว์ทัลซา เร่งหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นไปอีกกับเครื่องเล่นที่สวนสนุก Bell’s และสวนน้ำ Big Splash ค้นหาประวัติศาสตร์การบินของทัลซาที่พิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศและท้องฟ้าจำลองทัลซา ที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบินและการมีส่วนร่วมในการสำรวจอวกาศในยุคแรกเริ่มของเมือง
ทัลซาเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรูปปั้นขนาดใหญ่เกินจริง The Golden Driller รูปปั้นคนงานน้ำมันขนาด 26 เมตร รูปแกะสลักทองแดง Praying Hands ตรงทางเข้ามหาวิทยาลัย Oral Roberts ความสูง 18.3 เมตร
สำหรับความสนุกในช่วงเย็นและกลางคืน อย่าลืมใส่ย่าน Blue Dome เอาไว้ในแผนด้วย ซึ่งถือเป็นใจศูนย์กลางกิจกรรมยามค่ำคืนของทัลซา ที่มีชื่อมาจากสถานีบริการน้ำมันเก่าแก่ในทศวรรษ 1920 ที่เคยดึงดูดนักเดินทางที่ผ่านทางหลวงหมายเลข 66 ในช่วงต้นด้วย มีทั้งบาร์ คลับ และร้านอาหารให้เลือกอยู่หลากหลาย ย่านนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในการเป็นที่จัดเทศกาล Blue Dome Arts ประจำปีในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมด้วย